บทคัดย่อ
โครงงานวิทยาศาสตร์
เรื่อง ถ่านจากวัสดุธรรมชาติดูดกลิ่นไม่พึงประสงค์
มีจุดมุ่งหมายเพื่อหาประสิทธิภาพการ ดูดกลิ่นไม่พึงประสงค์ของถ่านจากวัสดุธรรมชาติโดยแบ่งการทดลองออกเป็น
2 การทดลอง การทดลองที่ 2 การหาถ่านที่ผสมสมุนไพรที่สามารถดูดกลิ่นและให้กลิ่นหอมได้ดีที่สุดการทดลองที่
2 คือ การหาปริมาณที่จะทำให้ถ่านผสมสมุนไพรมีความสามารถมากขึ้น
กิตติกรรมประกาศ
โครงงานวิทยาศาสตร์เรื่อง “ถ่านจากวัสดุธรรมชาติดูดกลิ่นไม่พึงประสงค์(Charcoal from natural materials
absorbs Odors)” คณะผู้จัดทำได้ทำการทดลองและเตรียมวัสดุ อุปกรณ์ที่โรงเรียนกาญจนาภิเษกวิทยาลัย
สุพรรณบุรี โดยได้รับความ ช่วยเหลือทางวัสดุจากผู้ปกครองของเด็ก
คณะผู้จัดทำขอขอบพระคุณเป็นอย่างสูง นอกจากนี้คณะผู้จัดทำ ขอขอบพระคุณ นางนันทวัน บุญชุ่ม อาจารย์ที่ปรึกษาโครงงาน ที่ให้การแนะนำในการจัดทำรายงานการนำเสนอโครงงาน
และ คณะอาจารย์กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ ที่เป็นกำลังใจมาโดยตลอด
ส่งผลให้โครงงาน วิทยาศาสตร์ นี้สำเร็จไปได้ด้วยดี
คณะผู้จัดทำ
คำนำ
โครงงานวิทยาศาสตร์เรื่อง สมุนไพรดับกลิ่นที่ไม่พึงประสงค์
เพื่อทดลองประสิทธิภาพของสมุนไพรในการดับกลิ่นเหม็นอับต่างๆ โดยได้รับคำปรึกษาจาก
คุณครูอัญชลี กล้าขยัน ที่ได้ให้คำปรึกษาในการทำโครงงานและการทำรูปเล่มโครงงาน
สารบัญ
เรื่อง หน้า
บทคัดย่อ
กิตติกรรมประกาศ
คำนำ
สารบัญ
บทที่
บทที่ 1 บทนำ
ที่มาและความสำคัญของโครงงาน
จุดมุ่งหมายการศึกษาค้นคว้า
บทที่ 1
บทนำ
ประเทศไทยของเราเป็นประเทศเกษตรกรรมที่มีผลิตผลทางการเกษตรมากมายหลายชนิด
ในอดีตเคมีป่าไม้อันอุดมสมบูรณ์
แต่เนื่องด้วยมีการตัดไม้ทำลายป่ากันมากทำให้พื้นที่ป่าของเมืองไทยมีจำนวนลดลง
สาเหตุที่สำคัญอันหนึ่งก็คือการตัดไม้ทำลายป่าเพื่อนำมาใช้เป็นเชื้อเพลิง
ปัจจุบันมีผู้นำเอากากจากผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรนำกลับมาใช้เป็นเชื้อเพลิงแทนถ่านไม้ซึ่งสามารถลดการตัดไม้ทำลายป่าได้
โครงงานวิทยาศาสตร์ เรื่อง "สารดูดกลิ่นจากถ่านไม้" จัดทำขึ้นเนื่องจากคณะผู้ร่วมพัฒนาผลงานเห็นว่าประเทศของเราเป็นประเทศเกษตรกรรมที่มีผลิตภัณฑ์ทางด้านการเกษตรอย่างมากมายหลายชนิด
ไม่ว่าจะเป็นพืชสวน พืชไร่ และผลไม้ต่างๆ ก่อให้เกิดกาก และขยะมูลฝอยจากผลิตภัณฑ์ดังกล่าวจำนวนมาก คณะผู้ร่วมพัฒนาผลงานจึงคิดว่าควรจะหาวิธีการที่นำมาใช้ให้เกิดประโยชน์ด้านอื่นๆ จากคุณสมบัติของถ่านไม้ที่สามารถดูดซับกลิ่นอับชื้นในภาชนะ หรือตู้ที่ปิดสนิทได้ โดยเฉพาะกลิ่นเหม็นอับในตู้เย็น เป็นต้น โดยการทดลองนำเอาเปลือกทุเรียน และแกนข้าวโพดที่จะต้องถูกทิ้งไปเป็นขยะนำมาเผาและบดให้เป็นผงถ่าน แล้วนำมาผสมกับแป้งเปียก เมื่อแห้งแล้วนำมาขึ้นรูปให้สวยงามตามแบบพิมพ์ที่ต้องการ เช่น ลายการ์ตูน ลายผลไม้ หรือลายสัตว์ต่างๆ เป็นต้น แล้วนำไปทดลองใช้เพื่อดับกลิ่นในตู้เย็น
โครงงานนี้เป็นโครงงานที่จัดทำได้ง่าย ลงทุนน้อย ฝึกให้เกิดทักษะในการคิดการศึกษาค้นคว้าเชิงวิทยาศาสตร์
การประดิษฐ์สิ่งใหม่ๆ ที่เป็นประโยชน์ ความภาคภูมิใจที่ได้ร่วมกันแก้ไขปัญหาของชุมชน การทำงานเป็นทีม โดยตั้งสมมุติฐานว่าผลิตภัณฑ์ถ่านจากถ่านไม้มีความสามารถในการดูดกลิ่นได้ดี ลดปริมาณขยะ ลดการตัดไม้ทำลายป่า และอาจจะพัฒนาต่อเนื่องให้เป็นผลิตภัณฑ์ในชุมชน ซึ่งอาจจะสามารถสร้างรายได้ให้กับชุมชนและตนเอง หรือสามารถประยุกต์นำกากเปลือกของผลไม้ชนิดอื่นที่มีในแต่ละชุมชนมาใช้ให้เกิดประโยชน์ เช่น กากอ้อย มันสำปะหลัง เปลือกสับปะรดที่ได้จากโรงงานอุตสาหกรรม เป็นต้น
เนื่องจาก"ถ่านไม้"มีคุณสมบัติในการช่วยดูดซับกลิ่นอับ กลิ่นอันไม่พึงประสงค์เราจึงมีจุดมุ่งหมายหลักในการศึกษาคือการทดลองนำสมุนไพรมาผสมเพื่อทดสอบว่าจะสามารถดูดกลิ่นและมอบกลิ่นหอมให้ด้วยหรือไม่
1.ถ่านไม้ผสมตะไคร้จะให้กลิ่นที่หอมมากกว่าถ่านไม้ผสมใบเตย
ตัวแปรต้น ประเภทของสมุนไพรที่นำมาใช้,ปริมาณของสมุนไพร
ตัวแปรตาม ความสามารถในการดูดซับกลิ่นอับเหม็น
ตัวแปรควบคุม สถานที่เหมือนหรือใกล้เคียง
นิยามเชิงปฏิบัติการ
บทที่ 2
เอกสารที่เกี่ยวข้อง
ปลาทูเค็ม หมายถึง ผลิตภัณฑ์แปรรูป เพื่อการถนอมอาหาร ด้วยวิธีการหมักเกลือ (salt curing) ร่วมกับการทำแห้ง
(dehydration) ได้จากการนำปลาสด เช่น ปลาอินทรี ปลากุเลา ที่ตัดแต่งแล้วมาทำเค็มโดยใช้เกลือเคล้าให้ทั่ว หรือแช่ในน้ำเกลือแล้วตั้งทิ้งไว้ในระยะเวลาที่เหมาะสม
อาจทำให้แห้งโดยใช้ความร้อนจากแสงอาทิตย์ (sun drying) หรือแหล่งพลังงาน หรือใช้ตู้อบ (drier) เพื่อลดความชื้น และค่าวอเตอร์แอคทิวิตี้ (water activity) อาจแช่ในน้ำเกลือหรือน้ำมันด้วยก็ได้
ตะไคร้หอม (Citronella
Grass, Sarah Grass) หรือตะไคร้แดง
เป็นพืชสมุนไพรจำพวกหญ้า
ซึ่งตะไคร้หอมนั้นมีต้นกำเนิดจากเขตร้อนของเอเชีย เป็นพืชสมุนไพรที่มีน้ำมันหอมระเหยอยู่ซึ่งใช้สำหรับไล่ยุงได้ ไม่นิยมนำมาประกอบอาหารรับประทานเหมือนกับตะไคร้
โดยมีการนำตะไคร้หอมเข้ามาจากอินเดีย ซึ่งผู้ที่เริ่มนำตะไคร้หอมเข้ามาในประเทศไทยของเราก็คือคุณหลวงมิตรธรรมพิทักษ์
โดยเริ่มปลูกจากจังหวัดชลบุรีแล้วจึงแพร่กระจายปลูกไปทั่วทุกภาคของประเทศ
ตะไคร้หอม
ชื่อสมุนไพร
|
ตะไคร้หอม
|
ชื่ออื่นๆ
|
จะไครมะขูด
ตะไครมะขูด (ภาคเหนือ) ตะไคร้แดง (นครศรีธรรมราช)
|
ชื่อวิทยาศาสตร์
|
Cymbopogon
nardus Rendle.
|
ชื่อพ้อง
|
|
ชื่อวงศ์
|
Poaceae
(Graminae)
|
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
ไม้ล้มลุกจำพวกหญ้า สูงประมาณ 2 เมตร ลำต้นแตกจากเหง้าใต้ดินเป็นกอ
ลำต้นเป็นข้อๆ ใบเป็นใบเดี่ยว ออกเรียงสลับ
ใบรูปขอบขนานปลายแหลม ใบยาวกว่าตะไคร้บ้าน ลักษณะของใบกว้าง 5-20 มิลลิเมตร ยาวประมาณ 50-100 เซนติเมตร แผ่นใบแคบ ยาว
และนิ่มกว่าตะไคร้บ้าน มีสีเขียว ผิวเกลี้ยง และมีกลิ่นหอมเอียน
ปลายใบห้อยลงปรกดิน ก้านใบเป็นกาบซ้อนกันแน่นสีเขียวปนม่วงแดง
ต้นและใบมีกลิ่นฉุนจนรับประทานเป็นอาหารไม่ได้ ดอกออกเป็นช่อ
ออกที่ปลายยอด ชูก้านช่อดอกยาวออกมาจากส่วนกลางต้น มีช่อดอกใหญ่ ยาวประมาณ 2
เมตร แยกออกเป็นแขนง เป็นช่อฝอย แต่ละแขนงมีช่อย่อย 4-5 ช่อ แต่ละช่อมีดอกย่อยจำนวนมาก ดอกย่อยสีน้ำตาลแดง เป็นพืชที่ออกดอกยาก ผลเป็นผลแห้ง ไม่แตก
สรรพคุณ
หมอยาพื้นบ้านจังหวัดอุบลราชธานี ใช้ ราก ลำต้น และใบ เข้ายากับใบหนาด
ใบเปล้าใหญ่ และเครือสัมลม แก้วิงเวียน ใบ คั้นเอาน้ำ ช่วยไล่ยุง
ตำรายาไทย ใช้ เหง้า เป็นยาบีบมดลูก
ทำให้แท้งบุตรได้ คนมีครรภ์ห้ามรับประทาน ขับประจำเดือน
ขับปัสสาวะ ขับระดูขาว ขับลมในลำไส้ แก้แน่น แก้แผลในปาก แก้ตานซางในลิ้นและปาก
บำรุงไฟธาตุ แก้ไข้ แก้อาเจียน แก้ริดสีดวงตา แก้ธาตุ แก้เลือดลมไม่ปกติ เหง้า ใบ และกาบ นำมากลั่นได้น้ำมันหอมระเหย
ใช้เป็นเครื่องหอม เช่น สบู่ หรือพ่นทาผิวหนังกันยุง แมลง ทั้งต้น มีรสปร่า ร้อนขม แก้ริดสีดวงในปาก
ขับโลหิต ทำให้มดลูกบีบตัว ทำให้แท้ง ขับลมในลำไส้ แก้แน่นท้อง
ข้อมูลทั่วไปของถ่านไม้
ฟืน-ถ่าน
หมายถึง
ไม้ที่ใช้เป็นเชื้อเพลิง ไม้แห้งทุกชนิดและทุกขนาดอาจใช้เป็นเชื้อเพลิงหรือฟืนได้ทั้งสิ้น
สำหรับขี้เลื่อยที่มีขนาดเล็ก
อาจอัดให้เป็นก้อนเสียก่อนเพื่อความสะดวกในการหยิบฉวย ฟืนมีข้อเสีย คือ
เมื่อติดไฟแล้วมีควัน และให้ความร้อนต่ำ
การปรับปรุงเตาฟืนเพื่อให้การเผาไหม้ดีขึ้นจะช่วยให้การใช้ฟืนมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
อนึ่ง เพื่อความสมบูรณ์ของการเผาไหม้ อุตสาหกรรมที่ใช้เศษไม้เป็นเชื้อเพลิง
ต้องทำให้เศษไม้เป็นผงแบบขี้เลื่อย หรือละเอียดว่านั้นก่อน
แล้วจึงพ่นไปสู่เตาที่ออกแบบสร้างไว้อย่างเหมาะสม
ปัญหาเรื่องควันแก้ไขได้
โดยการทำฟืนให้กลายเป็นถ่านเสียก่อน การเผาถ่านมีกรรมวิธีคล้ายการกลั่นไม้
จะต่างกันก็ตรงที่ต้องใช้ความร้อน ซึ่งเกิดจากการเผาไหม้ของไม้ในเตาเอง
และไม่มีการเก็บส่วนที่ระเหยไปในอากาศ
การเผาถ่านแต่ละเตาใช้เวลาแตกต่างกันแล้วแต่ขนาดของเตา
ไม่ว่าจะมีไม้มากหรือน้อยเมื่อติดเตาขึ้นแล้ว ต้องคอยระวังไม่ให้เตาแตก ทรุด
หรือเกิดรูรั่ว และคอยควบคุมช่องอากาศเข้าเตาให้พอดี กล่าวคือ ถ้าช่องอากาศเล็ก
ไม้ก็ไหม้ช้า ถ้าช่องอากาศใหญ่ ไม้ก็จะไหม้เป็นเถ้าไปเสียมาก
รออยู่จนกระทั่งเห็นว่า ไม้ไหม้หมดเตาไม่มีควันออกมาอีกต่อไป
จึงปิดช่องอากาศเสียให้สนิท เมื่อไฟดับทั่วเตาแล้ว
จึงเปิดเตาเอาถ่านออกมาใช้ได้ตามปกติถ่านที่ได้จะมีประมาณร้อยละ ๕๐
ของไม้ที่เผาโดยปริมาตร
การเผาถ่านด้วยกรรมวิธีที่ต่างกัน
โดยการทำให้ความร้อนในเตาสูงต่ำต่างกัน จะทำให้ถ่านมีคุณภาพต่างกัน
การใช้ไม้เป็นพลังงานในปัจจุบัน มีความก้าวหน้ายิ่งขึ้น เนื่องจากภาวะที่พลังงานอย่างอื่น
มีราคาสูงขึ้น กล่าวคือ สามารถผลิตก๊าซจากฟืนได้โดยตรง
และนำไปใช้เดินเครื่องยนต์ได้เป็นผลสำเร็จ
ไม้ชนิดใดจะให้ฟืนและถ่านมีคุณภาพดีเพียงใดนั้น
นอกจากขึ้นอยู่กับความชื้นแล้ว ยังขึ้นอยู่กับน้ำหนักและปริมาณขี้เถ้าด้วย
เชื้อเพลิงที่มีน้ำหนักมาก ย่อมให้พลังงานต่อหน่วยปริมาตรสูง
การทำขี้เลื่อยอัดหรือถ่านอัด
เป็นการปรับปรุงคุณภาพของเชื้อเพลิงในส่วนนี้อีกทางหนึ่ง
ตรงกันข้ามกับขี้เถ้ายิ่งมีมากยิ่งลดพลังงานลงและเป็นภาระในการขจัด กล่าวได้ว่า
สารอนินทรีย์ที่มีอยู่ในดินทุกชนิดหรือทุกธาตุ ล้วนแต่มีอยู่ในขี้เถ้าหรือในไม้ทั้งสิ้น
เพราะละลายอยู่กับน้ำที่ต้นไม้ดูดขึ้นไปหล่อเลี้ยงลำต้น เมื่อน้ำระเหยไป
สารเหล่านั้นจึงสะสมอยู่ในต้นไม้นั่นเอง อย่างไรก็ตาม
ไม้ต่างชนิดกันย่อมมีความสามารถในการดูดซึมแร่ธาตุต่างๆ แตกต่างกันไป
ไผ่
เป็นไม้ใบเลี้ยงเดี่ยวพวกเดียวกับหญ้าที่มีความสำคัญในทางป่าไม้เพราะเป็นหญ้าขนาดใหญ่
สามารถนำไปใช้ประโยชน์ในการก่อสร้างบ้านเรือน ใช้ในงานจักสาน
ทำเยื่อกระดาษได้อย่างไม้ หน่ออ่อนก็ใช้เป็นอาหารประเภทผักอย่างดีของมนุษย์
หน่อไผ่งอกงามและเจริญเติบโตรวดเร็ว
และมีขนาดภายนอกเติบโตเต็มที่เพียงชั่วระยะฤดูการเจริญเติบโตฤดูเดียว
ในระยะปีแรกปีที่สองเนื้อไม้ยังอ่อน
สามารถนำไปจักตอกใช้เป็นเครื่องผูกมัดสิ่งของได้ดี
ในปีที่สี่ที่จะมีความแข็งแรงเต็มที่
อาจนำไปใช้ในที่ที่ต้องการความแข็งแรงและทนทาน ต่อไปส่วนดีของไม้ไผ่อีกอย่างหนึ่ง
คือ ไม่จำเป็นต้อง มีเครื่องมือพิเศษพิสดารในการแปรรูป
มีมีดเล่มเดียวก็สามารถตัดทอน ผ่า และขูดเกลาให้ใช้งานที่ต้องการได้
เตย หรือ เตยหอม ชื่อสามัญ Pandan Leaves, Fragrant Pandan,
Pandom wangi
เตย
ชื่อวิทยาศาสตร์ Pandanus amaryllifolius Roxb. (ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ Pandanus odorus Ridl.) จัดอยู่ในวงศ์เตยทะเล (PANDANACEAE)
สมุนไพรเตย มีชื่อท้องถิ่นอื่น ๆ ว่า ใบส้มม่า (ระนอง), ส้มตะเลงเครง (ตาก), ส้มปู (แม่ฮ่องสอน), ส้มพอดี ผักเก็งเค็ง (ภาคเหนือ)
เป็นต้น
ต้นเตยหอม จัดเป็นไม้ยืนต้นพุ่มเล็ก ขึ้นเป็นกอ
มีใบเป็นใบเดี่ยวเรียงสลับเวียนเป็นเกลียวจนถึงยอดใบ ลักษณะของเป็นทางยาว
สีเขียวเป็นมัน ใบค่อนข้างแข็งมีขอบใบเรียบ
ซึ่งเราสามารถนำใบเตยมาใช้ได้ทั้งใบสดและใบแห้ง
ในใบเตยจะมีกลิ่นหอมของน้ำมันหอมระเหย (Fragrant Screw Pine) โดยกลิ่นหอมของใบเตยนั้นมากจากสารเคมีที่ชื่อว่า
2-acetyl-1-pyrroline
ซึ่งเป็นกลิ่นเดียวกันกับที่ได้ใน
ข้าวหอมมะลิ ขนมปังขาว และดอกชมนาด
นอกจากนี้ใบเตยยังประกอบด้วยวิตามินและแร่ธาตุสำคัญอีกหลายชนิด
โดยใบเตยหอม 100 กรัมนั้นจะมีเบต้าแคโรทีน 3 ไมโครกรัม, วิตามินซี
8 มิลลิกรัม, วิตามินบี2 0.2 มิลลิกรัม, วิตามินบี3 1.2 มิลลิกรัม, ธาตุแคลเซียม
124 มิลลิกรัม, ธาตุเหล็ก 0.1 มิลลิกรัม, ธาตุฟอสฟอรัส
27 มิลลิกรัม นอกจากนี้ยังมีคาร์โบไฮเดรต 4.6 กรัม, โปรตีน 1.9 กรัม
และให้พลังงานถึง 35 กิโลแคลอรี่ !
ใบเตยเป็นพืชที่คนไทยทุกคนต่างก็รู้จักกันดี
เนื่องจากมีการนำมาใช้กันอย่างหลากหลายตั้งแต่สมัยโบราณแล้ว
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการนำมาปรุงแต่งอาหารอย่างขนมไทยให้มีกลิ่นหอม อร่อย
และยังให้สีสันน่ารับประทานอีกด้วย
ประโยชน์ของใบเตย
1.
ใบเตยหอม
สรรพคุณช่วยบำรุงหัวใจให้ชุ่มชื่น และช่วยลดอัตราการเต้นของหัวใจ (น้ำใบเตย)
2.
การดื่มน้ำใบเตยจะช่วยดับกระหายคลายร้อนได้เป็นอย่างดี
เพราะใบเตยมีกลิ่นหอมเย็นทานแล้วจึงรู้สึกสดชื่น ผ่อนคลาย
3.
รสหวานเย็นของใบเตย ช่วยชูกำลังได้
4.
การดื่มน้ำใบเตยช่วยแก้อาการอ่อนเพลียของร่างกายได้
5.
ช่วยปรับสมดุลในร่างกาย
6.
ผู้ที่มีธาตุเจ้าเรือนเป็นธาตุไฟนั้นการรับประทานอาหารที่ปรุงจากใบเตยจะช่วยทำให้รู้สึกเย็นสบายสดชื่นได้
7.
ช่วยรักษาโรคเบาหวาน
ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ซึ่งตามตำรับยาไทยได้มีการนำใบเตยหอม 32 ใบ, ใบของต้นสัก
9 ใบ นำมาหั่นตากแดด
แล้วนำมาชงเป็นชาดื่มอย่างน้อย 1 เดือน
หรือจะใช้รากประมาณ 1 กำมือนำมาต้มกับน้ำดื่มเช้าเย็นก็ได้เหมือนกัน
(ใบ,ราก)
8.
ช่วยลดความดันโลหิต (สารสกัดน้ำจากใบเตย)
10.
ใบเตย
สรรพคุณช่วยบรรเทาอาการอาการและดับพิษไข้ได้
11.
ใบเตยช่วยดับพิษร้อนภายในได้เป็นอย่างดี
12.
ใช้รักษาโรคหืด
(ใบ)
13.
สรรพคุณใบเตยใช้เป็นยาแก้กระษัย (ต้น,ราก)
14.
ใช้เป็นยาขับปัสสาวะ ด้วยการใช้ต้น 1 ต้นหรือจะใช้รากครึ่งกำมือก็ได้
นำมาต้มกับน้ำดื่ม (ราก,ต้น)
15.
สรรพคุณของใบเตยใช้รักษาโรคหัดได้
16.
ใบเตยสดนำมาตำใช้พอกรักษาโรคผิวหนังได้
17.
ประโยชน์ใบเตย มีการนำใบเตยมาใช้แต่งกลิ่นอาหารอย่างหลากหลาย
ไม่ว่าจะเป็นของหวานต่าง ๆ อย่าง ขนมลอดช่อง ขนมชั้น รวมไปถึงเค้กและสลัด เป็นต้น
18.
มีการนำใบเตยมาทุบพอแตก
นำไปใส่ก้นลังถึงสำหรับนึ่งขนม จะทำให้ขนมที่สุกแล้วมีกลิ่นหอมน่ารับประทานมาก
19.
ใช้ใบเตยลองก้นหวดสำหรับนึ่งข้าวเหนียว
เมื่อข้าวสุกแล้วจะทำให้มีกลิ่นหอมมาก
20.
สีเขียวของใบเตยเป็นสีของ คลอโรฟิลล์
สามารถนำมาใช้แต่งสีขนมได้
21.
ใช้ใบเตยสดใส่ลงไปในน้ำมันที่ใช้แล้ว
แล้วตั้งไฟให้ร้อนแล้วค่อยตักใบเตยขึ้น จะทำให้น้ำมันไม่มีกลิ่นเหม็นหืน
ทำให้น้ำมันที่ใช้ทอดมีกลิ่นเหมือนน้ำมันใหม่ใบสามารถใช้ไล่แมลงสาบได้
22.
ประโยชน์ของใบเตยกับการนำมาใช้ทำเป็นทรีทเม้นท์สูตรบำรุงผิวหน้า
ด้วยการใช้ใบเตยล้างสะอาด หั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ นำมาปั่นรวมกับน้ำสะอาดจนละเอียด
จะได้ครีมข้นเหนียวแล้วนำมาพอกหน้าทิ้งไว้ประมาณ 20 นาที
วิธีทำน้ำใบเตยหอม
·
นำใบเตยที่หั่นไว้ครึ่งหนึ่ง
แล้วใส่ลงในโถปั่นพร้อมกับน้ำเล็กน้อย แล้วปั่นจนละเอียด
·
เมื่อปั่นเสร็จให้กองเอากากออก
จะน้ำใบเตยสีเขียว ให้เทใส่ถ้วยแล้วพักไว้
·
ต้มน้ำในหม้อด้วยไฟระดับกลาง ๆ จนเดือด
ใส่ใบเตยที่เหลืออยู่อีกครึ่งหนึ่งลงไปต้มประมาณ 5-10 นาที
·
ใส่น้ำตาลลงในหม้อต้นจนน้ำตาลละลาย
แล้วให้ปิดไฟแล้วยกลง แล้วกรองเอากากออก
·
หลังจากนั้นให้ยกหม้อขึ้นตั้งไฟระดับกลางอีกครั้ง
รอจนเดือดแล้วปิดไฟ ยกหม้อลงปล่อยให้เย็นเป็นอันเสร็จ น้ำใบเตย
ใส่น้ำแข็งเสร็จดื่มได้เลย…
แป้งมันสำปะหลัง เป็นแป้งที่ได้จากมันสำปะหลัง ลักษณะของแป้งมีสีขาว เนื้อเนียน ลื่นเป็นมัน เมื่อทำให้สุกด้วยการกวนกับน้ำไฟอ่อนปานกลาง
แป้งจะละลายง่าย สุกง่าย แป้งเหนียวติดภาชนะ หนืดข้นขึ้นเรื่อยๆ
ไม่มีการรวมตัวเป็นก้อน เหนียวเป็นใย ติดกันหมด เนื้อแป้งใสเป็นเงา
พอเย็นแล้วจะติดกันเป็นก้อนเหนียว ติดภาชนะ ใช้ทำลอดช่องสิงคโปร์ ครองแครงแก้ว เป็นต้น
การโม่มัน
หัวมันสำปะหลังที่ผ่านการล้างและปอกเปลือกที่สะอาดจะจะถูกลำเลียงโดยสานพานเข้าสู่เครื่องโม่
(Rasper) จะมีมีดโดยใบมีดขนาดใหญ่ในแนวตั้งฉากกับผิวหน้า โดยมีอัตราการหมุนประมาณ 1000 rpm และทำการติดตั้งใบมีดตั้งแต่ 100 ใบขึ้นไป ใบมีดแต่ละใบมีความยาว 30 เซนติเมตร ซึ่งในขั้นตอนนี้จะได้ของเหลวข้นที่มีส่วนผสมของแป้ง
น้ำ กากมัน และสิ่งเจือปนต่าง ๆ
ระหว่างกระบวนโม่จะมีการจ่ายน้ำจากกระบวนการเพื่อช่วยในการทำงานของเครื่องให้สะดวกยิ่งขึ้นหน่วยการสกัด[แก้]
หลังจากนั้นมันสำปะหลังที่บดจนเป็นชิ้นละอียดจากเครื่องเครื่องขูดหรือบดซึ่งจะมีส่วนประกอบของน้ำแป้ง
กาก และเส้นใยจะถูกเติมน้ำก่อนจะนำเข้าสู่เครื่องสกัดแป้ง (Extractor) หน้าที่ของหน่วยสกัดคือ การแยกแป้งออกจากเซลลูโลส
เครื่องสกัดแป้งจะประกอบไปด้วยตะแกรงและผ้ากรองเป็นส่วนประกอบ
หลักการทำงานของเครื่องจะใช้หลักการของแรงหมุนเหวี่ยง (Centrifugal Force) โรงงานส่วนใหญ่จะใช้ชุดสกัด 3 ชุด แต่โรงงานขนาดใหญ่ อาจใช้ชุดสกัดถึง 4 ชุดต่อเนื่องกันเพื่อสกัดแป้งออกจากเซลลูโลสให้ได้มากที่สุด
เครื่องสกัดแป้งแบ่งตามหน้าที่ตามกรองออกเป็น 2 ชุด คือ ชุดสกัดหยาบ (Coarse Extractor) และชุดสกัดละเอียด (Fine
Extractor) น้ำแป้งจะผ่านเข้าชุดสกัดหยาบก่อน
เพื่อแยกกากหยาบออกแล้วจึงเข้าสู่ชุดสกัดละเอียดเพื่อแยกกากอ่อน
กากหยาบและกากอ่อนที่ได้จะถูกเหวี่ยงออกทางด้านบนของตะกร้ากรองแล้วเข้าสู่เครื่องสกัดชุดสกัดกาก
(Pulp Extractor : เป็นเครื่องสกัดหยาบ
ทำหน้าที่สกัดแป้งที่หลุดออกไปกับกาก) และเครื่องอัดกากต่อไป
โดยที่เครื่องสกัดหยาบมีตะกร้ากรองเป็นสแเตนเลส (Stainless
Screen) ขนาดรูกรอง 35-40 mesh มีการใช้น้ำหมุนเวียนหรือน้ำดีเพื่อช่วยในการสกัดแป้งออกจากกากหยาบ
ส่วนเครื่องสกัดละเอียดตะกร้ากรองเป็นสแตนเลสมีรูกรองขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 0.5 ซม.
และใช้ผ้ากรองไนลอนทรงกรวยเหมือนตะกร้ากรองวางด้านบนแล้วยึดด้วยสายรัดโลหะ
ผ้ากรองที่ใช้มีขนาดรูกรองสองแบบคือ 100-120 mesh
และ 140-200 mesh มีการใช้น้ำกำมะถันและน้ำดีช่วยในการสกัดแป้งจากกากอ่อน น้ำกำมะถันช่วยกำจัดการเกิดเมือกที่จะไปอุดตันแผ่นกรอง
ป้องกันไม่ให้เกิดการสูญเสียแป้งจากจุลินทรีย์และช่วยฟอกสีแป้งให้ขาว
กากมันสำปะหลังจะถูกแยกออกจากน้ำแป้งเพื่อนำเข้าสู่เครื่องอัดกากและนำไปตากแดดเพื่อนำไปผสมเป็นอาหารสัตว์หรือนำไปผสมกับมันเส้นเพื่อทำมันอัดเม็ด
แอมโมเนีย (Ammonia) มีสูตรทางเคมี คือ NH3 เป็นสารที่ไม่มีสี มีกลิ่นฉุน ซึ่งคนเราสามารถสัมผัสกลิ่นแอมโมเนียได้หากมีความเข้มข้นมากกว่า 5 ppm ถ้าหายใจเข้าไปเพียงเล็กน้อยจะทำให้น้ำตาไหล ออกฤทธิ์กระตุ้นหัวใจอย่างแรงทำให้เสียชีวิตจากภาวะหัวใจล้มเหลวได้ง่าย
ข้อมูลจำเพาะ (กฤษณา ภูริกิตติชัย, 2554)1
– น้ำหนักโมเลกุล
17.03
– มีชื่อเรียกอื่น
ได้แก่ แอนไฮดรัสแอมโมเนีย, ก๊าซแอมโมเนีย,
Ammonia, Ammoniac, Spirits of Hartshorn, Amfol, Nitrosil, Aqua-Ammonia, Spirit
of Hartshorn
– สถานะ ที่ 15 0C (State at 15 0C) 1 atm : ก๊าซ
– จุดเดือด (Boiling Point) 1 atm : -33.4 0C ; -28.1 0F ; 239.8 0K
– จุดเยือกแข็ง
(Freezing Point) : -77.7 0C ; -108 0F ; 265.5
0K
– ความถ่วงจาเพาะ
(Specific Gravity) –33.4 0C ของเหลว : 0.682
– ความหนาแน่นไอ
(Vapor Density) : 0.6
– ความดันไอ (Vapor Pressure) 21.1 0C : 888.0 kPa ; 8.88 bar ;128.8
psig
– ความร้อนแฝงจากการระเหย
(Latent Heat of Evaporization) : 327.4 kcal/Kg
;
189 Btu/lb
– ความสามารถในการละลายน้าได้
(Solubility in Water) 20 0C , 1 atm : 53 g
NH3/100gH2O
– จุดระเบิด (Explosive Limits) โดยปริมาตร : 15%
– 28%
– จุดวาบไฟ (Flash Point) :1,208 0C ; 2206.4 Fo 12) อุณหภูมิที่สามารถลุกติดไฟได้เอง (Autoignition Temperature) : 651 0C; 1202 0F;924 0K
บทที่3
อุปกรณ์และการทดลอง
อุปกรณ์
1.ถ่านไม้
2.ใบเตย
3.ตะไคร้
4.แป้งเปียกหรือแป้งมันสำปะหลัง